“พระผู้สร้างแสงสว่าง” ขายบ้าน สร้างโรงเรียนไม่เก็บค่าเรียน

ทั่วไป

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก สำหรับเรื่องของ “ความมั่นคงของชาติ” ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน “พระครูวิมลปัญญาคุณ” เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม บ้านดงดิบ ต ห้วยยาง อ โขงเจียม จ อุบลราชธานี หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “พระอาจารย์” ได้ก่อตั้งโรงเรียนศรีแสงธรรม ในปี 2553 เปิดสอนทั้งม ต้น ถึง ปลาย โรงเรียนแห่งนี้มีโจทย์มาจาก “ความขาดแคลน” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั้งประเทศ

ตลอดระยะเวลาที่ท่านจำพรรษา เหล่าญาติโยมก็มีจิตศรัทธาบริจาคปัจจัยให้อย่างเนื่อง ท่านจึงมองปัจจัยทั้งหมดแล้วคิดว่าจะจัดการนำปัจจัยเหล่านี้ไปใช้อะไรให้เกิดประโยชน์แก่สังคมมากที่สุด เลยทำให้เป็นที่มาของ “โรงเรียนศรีธรรม” พระอาจารย์ขายบ้านตัวเองที่เป็นมรดกชิ้นสุดท้าย มาสมทบทุนสร้างอาคารเรียนมูลค่า 18 ล้านบาท โดยที่ไม่พึ่งพางบประมาณจากรัฐแม้แต่บาทเดียว และยังสอนเด็กๆ โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน มีรถรับ ส่งฟรี อาหารฟรี ควบคู่กับการทำงาน ทุกวันนี้โรงเรียนศรีแสงธรรมผลิตไฟฟ้าใช้เองภายในโรงเรียนทำให้โรงเรียนเสียค่าไฟเดือนละ 40 บาทเพื่อรักษาค่ามิเตอร์เท่านั้น

พระครูวิมลปัญญาคุณ เปิดใจว่า สาเหตุที่ตั้งโรงเรียน เพราะไม่อยากเห็นใครข า ดแคลนการศึกษาเหมือนท่าน สมัยเด็กท่านเรียนไม่จบมัธยม ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา เพราะพ่อแม่แยกทางกัน เลยต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานเพราะเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้พระอาจารย์ตัดสินใจสร้างโรงเรียน เนื่องจากต้องการสานต่อการช่วยชาติจากหลวงตามหาบัว พระอาจารย์ของท่านได้มีส่วนรวมรวบเงินบริจาคต่างๆ ซื้อทองคำ เข้าคลังหลวง พอหลวงตาปิดโครงการช่วยชาติ จึงคิดว่าการช่วยชาติที่ดีที่สุดคือการผลิตคนดีเข้าสู่สังคม เพราะเด็กเป็นอนาคตของชาติ

“ทุกวันนี้สิ่งที่เห็นคือ ความขัดสน ความยากจนของคนในชุมชน และส่งผลกระทบไปถึงระดับชาติ เมื่อเด็กไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก จะอยู่อย่างไรในสังคม อนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ อาตมามองจากจุดนี้จึงอยากให้พวกเขามีโอกาสทางการศึกษา ถ้าไม่มีการศึกษา เด็กๆ จะไม่มีแรงจูงใจอะไรในชีวิต ไม่มีเครื่องมือในการหาเลี้ยงตัวเอง” นี่คือแรงผลักสำคัญที่ทำให้พระอาจารย์มีพลังในการทำสิ่งๆต่าง

จากจุดเริ่มต้นของโรงเรียนซึ่งมีปัจจัยเพียงน้อยนิดจากการบริจาค พระอาจารย์จึงตัดสินใจพาเด็กๆสร้างอาคารเรียนแบบบ้านดิน เพราะเป็นแนวทางที่ประหยัดที่สุดและสามารถทำได้ตัวเอง ทุกคนลงมือปั้นดินเป็นด้วยตัวเองนับพันนับหมื่นก้อนเพื่อสร้างอาคารเรียนบ้านดินด้วยตัวเอง ทำให้เด็กๆ มีความภูมิใจมาก เพราะเป็นห้องเรียนที่ทุกคนสร้างมากับมือ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด บ้านพักครู อาคารพยายาม ถูกสร้างขึ้นมาจากเศษไม้ เศษเหล็กเก่าๆ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

ห้องเรียนบ้านดิน ระหว่างที่มีการก่อสร้าง

ห้องเรียนบ้านดิน หลังจากก่อสร้างเสร็จแล้ว

ขณะที่การสร้างแหล่งผลิตอาหารแบบเกษตรอินทรีย์ ก็เป็นภารกิจสำคัญของนักเรียนที่นี่ เพื่อเป็นอาหารกลางวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผัก เพาะเห็ด การปลูกข้าว โดยเฉพาะในเรื่องการปลูกข้าวที่ทางโรงเรียนใช้วิธีปลูกข้าวต้นเดียว เพื่อเพิ่มผลการผลิต ซึ่งเป็นวิธีการทำนาแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมในระดับโลก โดยน้องๆโรงเรียนศรีแสงธรรม ต้องลงมือ ไถนา ดำนา เกี่ยวข้าว ด้วยตัวเอง สร้างความตื่นตะลึงกับให้ผู้ที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเด็กสมัยนี้ทั้งหญิงชายสามารถขับรถไถนาได้

โครงการหลุมพอเพียงขุมทรัพย์ของพ่อ ที่มีการปลูกพืชผสมผสานทั้งไม้ต้น ไม่ระยะกลาง และผัก

ทั้งหมดนี้คือ ตัวอย่างเบื้องต้นที่โรงเรียนได้ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการศึกษา โดยให้เด็กๆมีส่วนร่วม ได้ลงมือทำ ได้สร้างผลงานด้วยตัวเอง และสามารถนำความรู้ดังกล่าวกลับไปใช้เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อแม่ และเลี้ยงตัวเองในอนาคตได้ เพราะทำมาหมดแล้วทุกอย่าง

ต้นกำเนิด “โซล่าเซลล์”เพราะไม่มีอุปกรณ์การเรียนการสอน

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเพิ่งย้ายเข้าอาคารเรียนใหม่ๆ เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ แต่ในห้องไม่มีอุปกรณ์การสอนเลย มีแต่ “แดด” จึงคิดว่าน่าจะมีการใช้ประโยชน์จากแดด ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่มีหมด

“ตอนนั้นมีเพียงแผ่นโซล่าเซลล์เก่าๆ ที่พังแล้วมาซ่อม และทดลองใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ที่ชาร์จมือถือ ทำโคมไฟ จากนั้นก็ขยายความรู้ไปเรื่อยๆ ด้วยการเข้าร่วมประกวดโครงการงานต่างๆได้รับรางวัลประเทศมากมาย ในที่สุดจึงเดินหน้าติดตั้งโซลาเซลล์ขนาด 6 กิโลวัตต์ เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ทำให้ค่าไฟลดลงอย่างมากจากเดือนละ 6,000 บาท เหลือเพียง 40 บาท”

ไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะทางโรงเรียนยังได้มีประยุกต์ใช้โซลาเซลล์กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ตู้น้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องสูบน้ำพลังแสงอาทิตย์เข้าแปลงผักต่างๆ รวมถึงการประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่จากโซลาเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นรถสามล้อพลังแสงอาทิตย์ ไฟฉายขอข้าว วิทยุไม่เอาถ่าน เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนที่สนใจ โดยรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายถูกนำมาใช้เป็นค่าอาหารกลางวันและค่ารถรับส่งของโรงเรียน

เมื่อไฟฟ้าในโรงเรียนมีความมั่นคงแล้ว พระอาจารย์ได้เดินหน้าคิดหาทางช่วยเหลือชุมชนโดยนำโซล่าเซลล์มาประยุกต์ใช้กับการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย เช่น โซลาเซลล์เคลื่อนที่ “รถเข็นผลิตไฟฟ้าชุดนอนนา” สามารถใช้กับเครื่องสูบน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นอย่างวิทยุ โทรทัศน์ได้ พัดลมเพื่อให้ชาวนาเข็นไปนอนเฝ้านาอย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียค่าน้ำมันแพงๆ อีกต่อไป ใช้แดดร้อนๆในนาเป็นพลังงานได้เลย ทำให้เป็นที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชมเป็นอย่างมาก

รถเข็นผลิตไฟฟ้าชุดนอนนาเพื่อเกษตรกร ซึ่งเป็นโปรเจคแรกๆที่พระอาจารย์ได้ริเริ่มเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความสะดวกสบายในการทำงานมากขึ้น

ทีมช่างขอข้าว นักเรียนชั้น ม ปลาย ลุยติดโซลาเซลล์ให้กับระบบประปาหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาภัยแ ล้ ง

ผลงานดังกล่าวเป็นที่ประทับใจของชุมชนเป็นอย่างมาก แทบไม่เชื่อด้วยสายตาว่าเด็กชั้น ม ปลายจะมีทักษะในการติดตั้งระบบโซลาเซลล์ได้ อีกทั้งยังใช้เวลาแค่ 1 วันต่อ 1 โปรเจคเท่านั้น ถือว่าเร็วมาก ทั้งยังบรรเทาชาวบ้านได้อย่างทันท่วงที

นอกจากจะมุ่งมั่นให้แสงสว่างต่อชุมชนในพื้นที่ต่างๆในพื้นที่ห่างไกลแล้ว พระครูวิมลฯยังมุ่งมั่นผลักดันให้สถานที่ราชการ วัด ในเมืองที่ใช้ไฟช่วงกลางวันจำนวนมาก ใช้โซล่าเซลล์เพื่อลดรายจ่าย โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว พระครูวิมลฯได้เป็นผู้นำในการวางระบบการติดตั้งโซลาเซลล์ขนาด 27 เมกะวัดต์ ที่วัดยานนาวา พระอารามหลวง ซึ่งได้นำร่องเป็นวัดต้นแบบในเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถลดค่าไฟได้เดือนละประมาณ 18,000 บาท

แผงโซลาเซลล์ที่วัดยานนาวา เขตสาธร นำร่องวัดในเมืองพลังงานทดแทนต้นแบบ

“ถ้าสถาบันการศึกษาต่างๆที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 1 เมกะวัตต์ทดลองผลิตใช้เองก็จะประหยัดค่าไฟได้ประมาณเดือนล่ะหกแสนบาท หรือปีละ 7 ล้านบาท หากทำ สักพันแห่งทั่วประเทศจะมีเงินเหลือ 7 X 1,000 เท่ากับประมาณ 7,000 ล้านต่อปีเกิดการจ้างงานมากมายหรือนำเงินมาพัฒนาระบบการศึกษาได้ นี่คือประโยชน์ของการทำ โซลาร์เซลล์ อย่าบอกว่ามันแพงอาตมาซื้ออุปกรณ์ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 180,000 บาท ประหยัดค่าไฟเดือนละ 6,000 บาท เพราะเราซื้อแผ่นโซลาร์เซลล์16 บาทต่อวัตต์ซึ่งสามารถใช้งานได้ 25 ปี จึงถือว่าคุ้มค่ามาก ” พระอาจารย์คำนวนตัวเลขอย่างคล่องแคล่ว

พระครูวิมลปัญญาคุณ ขยายความว่า เมื่อทุกบ้านสามารถสร้างรายได้จากหลังคาของตัวเองได้ก็จะช่วยให้พวกเขามีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้จะเพียงแค่เดือน 1000 ถึง 2,000 บาท แต่สำหรับคนบ้านนอกถือว่าเยอะมาก

“ฉะนั้นหากรัฐมีการส่งเสริมให้แต่ละระดับสามารถผลิตไฟฟ้าได้เองตามศักยภาพและรับซื้อพลังงานทุกรูปแบบ ตั้งแต่ระดับครัวเรือน หมู่บ้าน ตำบล ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ต่อครัวเรือน ทำ ให้ระบบเศรษฐกิจดีขึ้น และหากภาคประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้เกินปริมาณที่ใช้อยู่ก็จะช่วยให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้ามีไฟฟ้าในระบบเพิ่มมากขึ้นโดยภาครัฐไม่ต้องลงทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเลย เราดูตัวอย่างจากประเทศที่ประสบผลสำเร็จด้านพลังงานแสงอาทิตย์ก็ได้ เช่น ประเทศเยอรมนี เขารับซื้อไฟทั้งหมดที่ผลิตได้จากประชาชน ก็ทำ ให้วิกฤติการขาดแคลนพลังงานหมดสิ้นไปภายในระยะไม่กี่เดือนและมีพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย อาตมาอยากเห็นประเทศไทยก้าวไปสู่จุดนั้นบ้าง” พระครูวิมลปัญญาคุณ กล่าว

แม้ว่าทางโรงเรียนจะเน้นการปฏิบัติอย่างมากาย แต่ทางทฤษฎีและการสอบต่างๆ โรงเรียนก็ไม่ได้ละทิ้ง เพราะน้องๆโรงเรียนศรีแสงธรรมสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ 100% จนลบข้อกังขาในเรื่องการจัดการศึกษาแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่หลายคนกังวลว่าจะมีจุดอ่อนเรื่องทฤษฎีไปอย่างสิ้นเชิง

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะแม้จะเป็นโรงเรียนวัดที่อยู่ห่างไกล แต่พระอาจารย์ได้ระดมสรรพความรู้ทั้งหลายที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะติวเตอร์ออนไลน์ต่างๆ ทั้งฟรีและดี จัดเต็มให้นักเรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้คะแนน ONet ของเด็กที่นี่สูงไม่แพ้โรงเรียนอื่นๆ เพราะติวพิเศษกันทุกเสาร์ อาทิตย์ นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครต่างชาติมาสอนเพื่อเพิ่มทักษะด้านภาษาอังกฤษให้นักเรียนอีกด้วย

ที่พิเศษที่สุดคือ วีดิโอธรรมะตอนเช้า ที่นักเรียนต้องนั่งสมาธิก่อนเข้าเรียนวันละ 10 ถึง 15 นาที โดยมีพระอาจารย์เทศนาเรื่องต่างๆอบรมขัดเกลาจิตใจนักเรียนด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และวีดิโอนั้นก็ถูกเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กทุกวัน เพื่อเป็นข้อเตือนใจให้กับคนทั่วไปด้วย เรียกได้ว่าการจัดการศึกษาของโรงเรียนแห่งนี้เป็นมิติใหม่ของการศึกษาไทยที่มีการผสมกันระหว่างหลักธรรม แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้เด็กๆได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก

พระอาจารย์ฯ ย้ำปิดท้ายว่า อยากให้ทุกพื้นที่มีโอกาสได้รู้จักโซล่าเซลล์ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ง่ายมากง่ายกว่าการตากผ้า เพราะตั้งอยู่กลางแดด 5 นาทีก็มีไฟใช้ได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายต่อการดัดแปลงไปใช้ในบริบทต่างๆของชุมชน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ไม่ต้องมีความขัดแย้งกันอีกต่อไป ทุกคนสามารถผลิตพลังงานกันเองได้เลย หากโรงเรียนกลางป่าอย่างศรีแสงธรรมสามารถทำได้ทุกที่ในประเทศไทยก็สามารถทำได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้คือ เรื่องราวของโรงเรียนต้นแบบที่สร้างแสงสว่างทั้งทางปัญญา สร้างแสงสว่างให้กับชุมชน ทั้งยังสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติด้วย