คนเป็นแม่ถึงกับช็อก ลูกกลับมาจากโรงเรียน ร้องไห้ หนูเจ็บ หนูเจ็บ จนรู้ความจริง

เรื่องเด่น

เป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจคนเป็นพ่อ เป็นแม่อย่างมาก เพราะเรื่องแบบนี้นั้นคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับลูกตัวเองเป็นแน่ กว่าเด็กคนหนึ่งจะโตจนสามารถเข้าเรียนอนุบาลได้นั้น มันยากลำบากมาก แค่ไหนแต่พอส่งไปหน้าโรงเรียนในวันแรก ภาพที่ลูกต้องจากอ้อมอกของแม่นั้นทำให้พ่อแม่หลายคนทำใจไม่ได้ กังวลเป็นห่วงร้อยแปดพันเก้า กลัวไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูกของตน

 

ที่มณฑลหนานจิง ประเทศจีน คุณแม่ท่าหนึ่งได้ไปส่งลูกน้อยไปโรงเรียน แต่พอกลับมาจากโรงเรียน ลูกก็จะร้องไห้ตาบวมมาต ลอด ตอนแรกก็คิดว่าลูกยังปรับตัวเข้าสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ แต่พอหลายๆ วันเข้า ลูกกลับบอกว่า ไม่อยากไปโรงเรียน แถมตอนกลางคืนยังละเมอแปลกๆ ว่า เจ็บๆ อย่าทำหนู

 

ก่อนหน้าไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณแม่คนนี้เห็นลูกสาวหน้าบวมกลับมา เหมือนว่าจะร้องไห้มากเกินไป คุณแม่คนนี้จึงเข้าไปเพื่อจะปลอบโยนลูกสาว แต่ลูกสาวก็กลับบอกว่าพรุ่งนี้หนูไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ตอนแรกคุณแม่คนนี้นึกว่าลูกสาวอาจจะไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ทำให้คุณแม่สังเกตพฤติกรรมของลูกมากขึ้น แต่ก็ส่งลูกไปโรงเรียนทุกวันเหมือนเดิม

1 วันผ่านไป 2 วันผ่านไป หลังเลิกเรียนกลับมาลูกสาวก็ยังงอแงอยู่ ไม่เพียงเท่านี้ บางครั้งยังเผลอพูดออกมาว่า คุณครูตีหนูเจ็บมากห นู ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว คำพูดนี้ ทำเอาคุณแม่ถึงกับอึ้ง และคิดว่าสงสัยลูกสาวคงถูกทารุณอะไรแน่ๆเลย รุ่งเช้าคุณแม่คนนี้จึงคิดวิธีหนึ่งได้ โดยเธอแอบเอาปากกาบันทึกเสียงใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงของลูกสาว และแล้วก็ได้รู้ความจริงดังที่คิดไว้ หลังลูกสาวกลับมา คุณแม่ก็เปิดฟังเครื่องบันทึกเสียง ก็ได้ยินเสียงของคุณครูพูดว่า

 

หุบปากเดี๋ยวนี้! ใครพูดมากก็จะไม่ได้กินข้าว ได้ยินหรือยัง หุบปาก แนะๆ พูดแล้วยังจะมองหน้าอีก ไม่เคยเห็นปีกไก่หรือไง เอ้า ดูซะ

ถึงปานนี้แล้วยังไม่นั่งอีกหรอ นั่งให้เรียบร้อย ร้องอีก ยังร้องอีก ร้องอยู่ได้ ยังจะกล้าร้องอีกไหม? ในชั้นมีครู 2 คน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลของโรงเรียน ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นคุณครูอีกท่านที่กำลังพูดคุยกับเด็กนักเรียน โหดมาก บางทียังลงไม้ลงมือกับเด็กอีกด้วย

บอกให้ใส่เสื้อผ้า ยังไม่รีบๆใส่อีก

เปี้ยะ (เสียงตี) ยังจะมาร้องอีก

เปี้ยะ (เสียงตี) ยังกล้าร้องไห้อีกไหม ถ้ายังร้องอีกก็ไสหัวออกไปเลย เสียงตี ดังฟังชัดมาก ใครได้ยินก็รู้ว่ากำลังใช้มือตบตีเด็ก

 

เมื่อนำเสียงที่บันทึกได้ไปถามผู้อำนวยการโรงเรียน คุณครูคนนั้นก็รีบอกมาแก้ต่างว่า เพราะเด็กซนมาก ควบคุมยากมาก ยอมรับว่าตนเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งทางวาจาและพฤติกรรม ทั้งที่ตนเองไม่เคยตีเด็กมาก่อน เสียงตีที่ได้ยิน คือเสียงตีมือเด็ก ไม่ได้ตบหน้าเด็ก

 

แต่ที่เกินกว่านั้นคือ ครั้งแรกที่แจ้งทางโรงเรียนให้ทราบ พวกเขากลับบอกว่าปกติที่โรงเรียนไม่มีกล้องวงจร ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าคุณครูตบตีเด็กจริงหรือไม่? ทำให้ไม่ได้ลงโทษคุณครูคนนั้นปล่อยให้เรื่องผ่านไปอย่างเงียบๆ คุณแม่ท่านนี้จึงโกรธมากแล้ว วันรุ่งขึ้นทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้ลูกทันที เพราะแม่คนนี้รู้สึกว่าโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือจากข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้รู้เลยว่า แม่เป็นเหมือนทูตสวรรค์ที่คอยปกป้องลูกน้อยของตนเองอยู่ แม่คนไหนจะทนดูให้ลูกไปโรงเรียนแบบนั้นได้